ข้อมูลเพิ่มเติม

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บั้งไฟ-พญานาค

มหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงลูกไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษาที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า “บั้งไฟพญานาค” เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัย แต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ





ก่อนนี้คน อ.โพนพิสัย เห็นแล้วก็เฉย ๆ เพราะเห็นประจำทุกปีในวันออกพรรษา ผู้เขียนสมัยเมื่ออายุยังน้อย เมื่อปี 2508 (เป็นคน อ.โพนพิสัย) เมื่อวันออกพรรษา ได้ไปนั่งดูอยู่ที่ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย และได้ลงเรือไปไหลเรือไฟด้วย เมื่อไหลเรือไฟมาถึงบริเวณท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นลูกไฟดังกล่าวพุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง ขึ้นสูงไม่เกิน 2-3 วา นาน ๆ จะพุ่งขึ้นที จะขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนบนฝั่งเวียนเทียนเสร็จ เงียบ ลูกไฟถึงจะขึ้นให้เห็น แต่ทุกวันนี้ เมื่อ 18.00 น ก็ขึ้นแล้วขึ้นสูงถึง 200-300 เมตร และขึ้นแต่ละทีก็มากด้วย ตั้งแต่ 5-20 ลูกติดต่อกัน สังเกตว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทย ไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น ปีไหน (วันออกพรรษา) ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้จะขึ้นมาก เชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาล อยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่ว่าอย่างนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้งจะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้ง ชาวประมงวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปได้ 99 วา ที่นี้จะมีลูกไฟขึ้นเป็นสีเขียวนวล บ่อยครั้งที่ชาวลุ่มแม่น้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทาง ทางน้ำ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการกระทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือ เทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษเหตุนี้เรียกว่า “เงือกกิน” “เงือก, งู” เป็นสิ่งเดียวกันกับพญานาค แต่พญานาคนั้นมีภพเป็นที่อยู่อีกมิติหนึ่ง สามารถแปลงร่างได้หลายชนิด แปลงกายเป็นมนุษย์ หรือ อะไรก็ได้ เพียงแค่คิดเท่านั้นรูปร่างก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำ หรือหลายครั้งที่มีคนพบรอยประหลาดแต่ก็เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่เกิดขึ้นในเขต อ.โพนพิสัย หรือที่อื่น ๆ แม้แต่กลางกรุงเทพ ฯ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากคิดว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น และทำไมจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น และจะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาวจึงเชื่อได้ว่าพญานาค มีสัญชาติเชื้อชาติ ลาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นทางฝั่งไทยก็ตาม




นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟประหลาดหรือที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคายกับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและการสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และ แยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน

ตำนานประเพณีต่าง ๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พญานาค ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และ สำคัญอย่างไร กับเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ และทำไม”บั้งไฟพญานาค”จึงได้เกิดขึ้นเฉพาะเขต จ.หนองคาย เท่านั้น และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (15 ค่ำ ลาว) เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บั้งไฟพญานาคว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเกิดในวันดังกล่าวเท่านั้น ใครทำเพื่ออะไร และ ได้อะไรจากการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนยังต้องการไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้อยู่ (ตำนานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา บนดาวดึงส์ ครบ 3 เดือน เมื่อเสด็จกลับโลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงิน ทอง เสด็จลงมา มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบั้งไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาคดังนั้นต่อมาเหล่าพญานาคจึงได้ถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญ).........

หนองคาย – เวียงจันทน์เมือง “พญานาค
ในสมัยพุทธกาล คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จที่พระเชตุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถี พระองค์ได้พิจารณาถึงพุทธโบราณ ประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีตที่เสด็จเข้านิพพานไปแล้ว พระสาวกทั้งหลายต่างก็นำเอาพระสารีริกธาตุไปฐาปนาไว้ในที่ที่เหมาะสม พอรุ่งเช้าพระอานนท์ ได้ถวายน้ำชำระพระโอษฐ์ และไม้สีฟันหลังเสร็จกิจ จึงได้ทรงผ้ากำพลสีแดง แล้วผินพระพักต์สูทิศตะวันออก เสด็จมาทางอากาศมีพระอานนท์ เป็นผู้ติดตามพร้อมคณะสงฆ์เสด็จประทับที่ ดอนก่อนเนา (เวียงจันทน์ และเสด็จที่หนองคันแท เสื้อน้ำ ที่เวียงจันทน์) แล้วเสด็จประทับที่โพนจิกเวียงงัว (ใต้ปากห้วยคุคำ บ้านปะโค) ได้ทอดพระเนตเห็น แลนคำ แลบลิ้น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ เมื่อพระอานนท์ ทูลลา พระองค์พญากรณ์ว่า ต่อไปบ้านเมืองนี้จะเจริญ แลนคำ นั้นก็คือ ปัพพาละนาค อยู่ภูเขาลวงริมน้ำบังพวน ต.พระธาตุบังพวน (ทุกวันนี้) หลังจากที่ ปัพพาละนาคทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปภูเขาลวงจนพระองค์กระทำภัตตกิจเสร็จสิ้นได้ประทานผ้ากำพลผืนหนึ่งแก่ ปัพพาละนาค แล้วเสด็จไปฉันเพลที่ใกล้เวินหลอด ต่อมาเรียกเวินพล (บ้านโพนฉัน เมืองท่าพระบาท แขวงบลิคำไซ ประเทศ สปป. ลาว) จากนั้น สุกขหัตถีนาค เนรมิตเป็นช้างถือดอกไม้มาขอเอารอยพระพุทธบาทพระองค์ได้ย่ำรอยพระบาทไว้ที่แผ่นหินใกล้น้ำชั่วเสียงช้างร้องได้ยิน (ปัจจุบันเรียกว่า พระบาทโพนฉัน) อยู่เมืองพระบาท ในลาว พญานาคสร้างเมือง

ที่บ้านร่องสะแก ต.หนองคันแทเสื้อน้ำ(ในเวียงจันทน์)มีชายคนหนึ่งตัวใหญ่ดำ พุงใหญ่ ชื่อ“บุรีจันทน์ อ่วยล้วย” แต่เป็นผู้มีใจบุญสุนทาน จิตใจเป็นกุศล โอบอ้อมอารีแก่คนและสัตว์ ทำบุญให้ทานเป็นประจำ ในครั้งนั้นมีพระอรหันต์ 2 องค์ มาจากราชคฤห์นครอาศัยอยู่ที่นั้น คือ มหาพุทธวงศา อยู่ริมบึง อีกองค์ชื่อ มหาสัชชะตี อยู่ป่าโพนเหนือบึง บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นผู้อุปัฏฐากมาตลอด ด้วยอำนาจบุญกุศลดังกล่าว ทำให้คนทั้งหลายในตำบลมีความรักนับถือ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย จึงพากันยกให้บุรีจันทน์ ฯ เป็นอาจารย์สั่งสอนศีลธรรม ศิลปหัตถกรรม การุกสิกรรม จนเป็นที่รักใคร่ของมนุษย์ เทวดา นาค จึงมีนาคคอยช่วยเหลือกิจกรรมอยู่เนือง ๆ โดยมีสุวรรณนาค ให้ความช่วยเหลือเนรมิตบ้านเมืองให้

อยู่มาวันหนึ่งหลังจากที่ชาวบ้านทำนา เมื่อข้าวออกรวง น้ำก็มาท่วมเสีย สุวรรณนาค จึงให้ เศรษฐไชยนาค เนรมิตเป็นคันแทกั้นน้ำเอาไว้ เพื่อให้ท่วมข้าว ที่นั้นคนจึงเรียกว่า หนองคันแทเสื้อน้ำ ต่อมาอีก สุวรรณนาค ให้นาคบริวาร 2 ตัว คือ เอกจักขุนาค และ สุคันธนาค แปลงเพศเป็นงูมาทำให้ข้าวในนาเสียหาย ชาวบ้านจึงกั้นรั่วเปิดช่องกลาง ดักไซไว้ ต่อมางูน้อย 2 ตัวที่มีเกล็ดเหมือนทองคำ มีหงอนแดงงาม เข้าไปอยู่ในไซในคืนนั้น บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ฝันว่ามีไส้ออกมา และมีลึงค์ยาวพันรอบเอวถึง 7 รอบเมื่อตื่นขึ้นมาก็กลัว ไปใส่บาตรพระอรหันต์ ท่านได้แนะนำให้เอาดอกไม้ใส่พานบูชาไว้ที่หัวนอน แล้วอุทิศกุศลถึงพญานาค พอสายก็มีคนนำงูน้อย 2 ตัว มาให้จึงได้ขังเอาไว้เพื่อที่จะได้นำไปให้ พ่อท้าวคำบาง ผู้เป็นใหญ่ แต่ยังไม่ได้นำไป พอตกกลางคืน สุวรรณนาค แปลงเป็นตาผ้าขาวมีศรีษะหงอก บอกว่า “งู 2 ตัวนั้นเป็นลูกจะมาขอคืน” เมื่อ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เห็นดั้งนั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นคนถือศีลธรรมหรือ จึงนุ่งขาว ห่มขาว และทำไมบอกว่าเป็นลูกท่าน ข้าตั้งใจจะนำไปให้พ่อท้าวคำบาง เพราะเห็นว่ามีเกล็ดงามเหมือนทองคำ”ตาผ้าขาวจึงบอกว่า“เป็น พญานาค ท่านอย่าเอาไปเลย สิ่งนี้ไม่เหมาะ ควรจะนำสิ่งอื่นไปหากท่าต้องการเราจะให้ตามใจท่าน” บุรีจันทน์ อ่วยล้วย คิดว่าคงจะเป็นตามที่เราฝัน และ การอุทิศถึงพญานาค จึงได้บอกไปว่า “เมื่อข้าต้องการเมื่อใด ท่านจงให้เมื่อนั้นเถิด” แล้วได้มอบ งูน้อย 2 ตัวไป ตาผ้าขาวจึงได้บอกแก่ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ว่า “ให้ท่านขุดบ่อน้ำไว้ที่ริมบึงนอกบ้าน ถึงวันพระจะให้นาคน้อย 2 ตัวขึ้นมา ท่านประสงค์สิ่งใดจงเรียกจากนาคทั้ง 2” จากนั้นก็จากไป

หลังจากที่พญานาค เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้ดลใจพ่อท้าวคำบาง และมเหสี ให้นำ นางอินสว่างลงรอด ให้เป็นบาทบริจาคแห่ง พระยาสุมิตร ธรรมวงศา เมืองมรุกขนคร และเมื่อนางอินสว่างลงรอด ทราบก็เกิดความโศกเศร้า บิดาเห็นว่าไม่พอใจ จึงพูดให้พระธิดากลัวว่า ถ้าเช่นนั้นจะนำเจ้าไปเป็นธิดาของ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ที่เขาลือกันว่าพุงใหญ่ ตัวดำ เมื่อธิดาได้ยินแทนที่จะกลัว กลับมีความพอใจและหายโศกเศร้าจึงได้ปลูกเรือนหลวงขึ้น 2 หลัง ๆ ละ 5 ห้อง ไว้ระหว่างหาดทราย กับ บ่อน้ำของ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย แล้วให้พระธิดาไปอยู่นั้น แล้วตรัสสั่งให้ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เข้าเฝ้า เพื่อให้พระธิดาเห็นแล้วกลัวฝ่ายบุรีจันทน์ อ่วยล้วย เมื่อทราบดังนั้นจึงไปที่บ่อน้ำ ที่พญานาค สั่งให้ขุดแล้วเรียกนาคทั้ง 2 ให้มา นาคทั้ง 2 ก็มาตามประสงค์ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย จึงบอกว่าบัดนี้เราอยากได้นางอินสว่างลงรอด มาเป็นภรรยา ท่านทั้ง 2 จงกรุณาให้นางได้กับข้าด้วยเทอรญพญานาค ร่วมแรงแข็งขันช่วย บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ในบรรดาพญานาค ที่มีอยู่ที่หนองคันแทเสื้อน้ำ นั้น สุคันธนาค นำขวดไม้จันทน์มาให้ พร้อมเนรมิตอ่างสำหรับอาบน้ำ พร้อมกระบวยสำหรับตักน้ำอาบ เอกจักขุนาค ให้ผ้าเช็ดตัว กายโลหนาค ให้ผ้านุ่ง แล้วก็บอกกันต่อไป ส่วน อินทจักขุนาค ให้แหวนธำรงค์ เศรษฐไชยนาค ให้ดาบศรีด้ามแก้ว สหัสสพลนาค ให้เสื้อรูปท้าวพันดา สิทธิโภคนาค ให้มงกุฎทองคำ ประดับแก้ว คันธัพนาค ให้สังวาลย์คำ ศิริวัฒนานาค ให้รองเท้าทองคำ อินทรศิริเทวดา ให้แว่นกรองทองคำ เทวดาผยอง ให้ต่างหูทองคำ ประดับด้วยแก้ว เทวดาวาสนิท ให้ผ้าเช็ดหน้า ประสิทธิสักกเทวดา ให้ขวดน้ำมันแก้วผลึกเมื่อ นาค เทวดา ให้เครื่องเหล่านี้แล้ว ก็พากันมาชุมนุมที่หาดทราย อันเป็นที่อยู่ของ สุคันธนาค และ เอกจักขุนาค ส่วน สุวรรณนาค หัตถีนาค ปัพพาละนาค ได้มาพร้อมกับ พญาสุวรรณนาค และ พุทโธปาปนาค พญาสุวรรณนาค ก็เนรมิตปราสาทที่สำเร็จด้วยไม้จันทน์ พร้อมอาสนะ เครื่องปูลาด เพดานพร้อมเสร็จ แล้วจึงพากันไปรับเอา นางอินสว่างลงรอด มาไว้ในปราสาท และ พญาสุวรรณนาค ยังได้เนรมิตท้องพระโรงหลวง 19 ห้อง ที่ทำด้วยแก่นจันทน์ ปัพพาละนาค เนรมิตปราสาทไม้มะเดื่อพอกทำภายนอก พุทโธปาปนาค เนรมิตสระพังสำหรับสรง สุคันธนาค และ หัตถีนาค เนรมิตโรงช้างไว้ ซ้าย-ขวา ในคุ้ม ในวัง นั้นมีทุกประการ เมื่อคนทั่วไป ไปจับต้องสิ่งที่พญานาค เนรมิตไว้ก็จะเกิดมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา เทวดาอินทรศิริ เจียมปาง รับอาสากับ พญานาค เข้าคุ้มครองรักษาวัตถุข้าวของในปราสาทโรงหลวงทั้งสิ้น แล้วให้ เทวดามัจฉนารี นำพานดอกไม้ไปอัญเชิญ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เข้ามาอยู่หลังจากที่ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ชำระร่างกาย แล้วประดับด้วยเครื่องที่นาคจัดกามาให้และเทวดาเนรมิตให้ เมื่อแต่งเสร็จปรากฏว่าร่างกายที่อ้วนใหญ่ ดำ ก็กลายเป็นหนุ่มรูปหล่อ งามสง่าเนื้อตัวหอมด้วยกลิ่นจันทน์ เทวดามัจฉนารี จึงได้อุ้มไปนอนไว้กับ นางอินสว่างลงรอด ทันใดนางก็ตื่นแล้วหลับต่อไปอีก หลังตื่นมาทั้งสองเกิดความรักใคร่และได้เป็นสามี ภรรยากันต่อมา บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นเจ้าเมืองเมื่อบริวารทั้งหลายตื่นขึ้นมาเห็นความยิ่งใหญ่ จึงนำความไปแจ้งแก่ พ่อท้าวคำบาง และ พระมเหสีทั้งสอง มีความยินดี จึงให้เสนออำมาตย์จัดพิธีสมโภชยก บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นเจ้าบุรีจันทน์ พร้อมมอบบ้านเมืองให้ครอง โดยมี เทวดามัจฉนารี รักษาจ้าบุรีจันทน์ และข้า ทาสบริวาร ส่วน เทวดาอินทรศิริ ได้บอกกับ สุวรรณนาค ว่านาคตัวใดรักษาเมืองใดก็ให้ประจำอยู่ที่นั้น แล้วให้บอกกล่าวแก่ เงือก, งู ที่เป็นบริวาร ไม่ให้ทำร้ายผู้ใด ให้พากันรักษาพระพุทธศาสนา บ้านเมืองให้เจริญตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ เมื่อ สุวรรณนาค ได้รับคำสั่งดังนั้นจึงมีความยินดี ได้แต่งตั้งให้นาค 4 ตัว คอยดูแลเมือง ราษฎร ควรทำโทษจึงทำ โดยมี กายโลหนาค, เอกจักขุนาค, สุคันธนาค, อินทรจักขุนาค โดยมี เทวดาอินผยอง และ เทวดาวาสนิท เป็นผู้เที่ยวตรวจดูตามตำบลต่าง ๆ เมื่อเห็นคนกระทำผิดให้บอกแก่นาค ทั้ง 4 เป็นผู้ตัดสินลงโทษ เมืองที่เจ้าบุรีจันทน์ อ่วยล้วย ปกครอง คือเมือง สีสัตตนาคนหุต รวมถึงเมืองหนองคายด้วย เพราะในสมัยนั้น แม้แต่ พระธาตุบังพวน ต.พระธาตุบังพวน อ.เมืองหนองคาย เจ้าบุรีจันทน์ ก็เป็นคนสร้างครั้งแรกที่พระอรหันต์ นำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุโดยมีนาค คือ ปัพพาละนาค เป็นคนช่วยสร้างจนเสร็จ เมื่อพระอรหันต์นำเอาพระธาตุหัวเหน่า 29 องค์ ถวายพระยาจันทน์บุรี แล้วบรรจุในขวด ในขวดไม้จันทน์ที่ สุคันธนาค มอบให้ แล้วนำบรรจุลงในอุโมง ที่พระธาตุบังพวน

ในบั้งไฟพญาจังหวัดหนองคายนาคเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง
ในเขตอำเภอสังคมบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคมอ่างปลาบึก บ้านผาตั้ง อำเภอสังคม
ในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่
ในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ตำบลหินโงม อำเภอเมืองหน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ตำลบบ้านเดื่อ อำเภอ เมือง หนองคาย
ในเขตอำเภอโพนพิสัยปากห้วยหลวง ตำบลห้วยหลวง อำเภอโพนพิสัย
ในเขตเทศบาลตำบลจุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง ตำบลจุมพล อำเภอ โพนพิสัยหนองสรวง อำเภอโพนพิสัยเวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัยบ้านหนองกุ้ง ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย
ในเขตกิ่งอำเภอรัตนวาปีปากห้วยเป บ้านน้ำเป ตำบลน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนวาปีวัดเปงจาเหนือ กิ่งอำเภอรัตนวาปี
ในเขตอำเภอปากคาดบ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อำเภอปากคาด
ในเขตอำเภอบึงกาฬวัดอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ
ที่อื่น ๆ นอกจาก 14 แห่งนี้ที่อื่นก็อาจจะมีขึ้นบ้าง นอกจากในลำน้ำน้ำโขงแล้วตามห้วย หนองคลองบึง สระน้ำ กลางทุ่งนาที่มีน้ำขัง แม้แต่บ่อบาดาลที่ชาวบ้านขุดเพื่อเอาน้ำมาใช้ ในเขตจังหวัดหนองคาย ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์
หมายเหตุ ปี 2542 เกิดมากที่สุด ที่ชายตลิ่ง หน้าสถานี ตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ห่างจาก อ.เมือง หนองคาย เพียง 15กม.

สรุปความแตกต่างระหว่างบั้งไฟพญานาคกับไฟจากการจุดพลุ
จุดสังเกต ลักษณะลูกบั้งไฟพญานาค ลักษณะลูกไฟที่จุดจากพลุ
1. สีแดง แดงอมชมพูออกสีบานเย็น (สีพลอยทับทิมที่มีราคาแพงประดับหัวแหวน) แดงผสมหลายแบบ บางครั้งออกส้ม บางครั้งออกเหลือง
2. ความกลมกลืนของสีดวงไฟ สีเรียบสม่ำเสมอกลมกลืนกันทั้งลูกไฟ ลูกไฟสีจะไม่เรียบกลมกลืนกัน ใจกลางอาจจะออกสีน้ำเงินอ่อน ถัดมาสีส้มมักจะออกแดงเรื่อๆ
3. ความสว่าง ไม่ส่องแสงสว่างเท่าใดนัก คือไม่ให้เกิดความสว่างอย่างแสงไฟฟืนที่กำลังลุกโชน แต่จะสว่างเท่ากันตลอดเวลาจนกระทั้งดับ ส่องแสงสว่างจ้า ในขาขึ้น
4. แรงดันให้ลอย ไม่มีการพ้นเปลวไฟลงด้านล่าง เพื่อขับผลักตัวเองให้ลอย มีเปลวพ่นลงด้านล่างเพื่อผลักดันลูกไฟให้ลอยขึ้น แตกต่างกันชัดเจน
5. เห็นลูกไฟได้ที่ความสูงใด ถ้าลูกไฟลอยขึ้นด้วยความเร็วต่ำๆ จะเกิดลูกไฟที่ความสูงจากพื้นน้ำไม่เกิน 1 เมตร แล้วลอยขึ้นไป ลูกไฟจะเล็กลง ถ้าพุ่งขึ้นด้วยความเร็วสูงมากจะเกิดที่ความสูง 30-40 เมตร และจะเป็นดวงไฟที่ลูกโตตามมาก พุ่งไปเร็วมาก และสูงมาก เช่น ปี 2542 ลูกไฟพุ่งออกจากที่สำหรับบรรจุพลุ ทันทีที่พ้นปากกระบอกภาชนะ
6. การเห็นสีลูกบั้งไฟบางลูกสีแปรเปลี่ยนไปจากสีแดงบานเย็นได้ บั้งไฟบางลูกพุ่งขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็วมากจนมีน้ำกระจาย ละอองน้ำบางส่วนเกาะติดกลุ่มบั้งไฟขึ้นไปด้วยถ้าเกิดการลุกไหม้ตั้งแต่ระยะต่ำ ที่ความสูงประมาณ 1 เมตร ขณะที่มีน้ำเกาะติด จะเกิดแสงเป็นสีฟ้าสุกใส เมื่อลูกไฟพุ่งขึ้นสูงไประยะหนึ่งละอองน้ำที่เกาะจะหลุดจากบั้งไฟหมด สีของลูกไฟจะกลับคืนสู่สีปกติ คือ สีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น ซึ่งปี 2542 เกิดบั้งไฟสีลักษณะนี้ ที่เขตเทศบาล อ. โพนพิสัย จำนวน 40-50 ลูก แต่ถ้าเกิดการลุกไหม้ที่ระยะสูงประมาร 15 เมตรขึ้นไปที่ไม่มีน้ำเกาะติด จะเกิดแสงสีแดงทับทิม ลูกไฟพลุจะมีการเปลี่ยนสีได้เนื่องจาก1. ส่วนผสมของดินปืน 2. การอักดินปืน และ 3. และการใส่สีของช่างทำพลุ
7. การลอย จะลอยขึ้นในแนวดิ่งตั้งฉากกับพื้นโลก บางลูกลอยขึ้นในแนวเฉียง แต่ต้องเฉียงเป็นแนวเส้นตรง จะพุ่งขึ้นหลายแนว แล้วแต่ผู้จุดจะถือพลุชี้ไปทางใด แนวดิ่งก็ได้ หรือแนวเอียงแต่จะเฉียงเป็นเส้นโค้งไม่เป็นเส้นตรง



ขอบคุณ:การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อมูลเพิ่มเติม

Custom Search