ข้อมูลเพิ่มเติม

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บั้งไฟ-พญานาค

มหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงลูกไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษาที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า “บั้งไฟพญานาค” เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัย แต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ





ก่อนนี้คน อ.โพนพิสัย เห็นแล้วก็เฉย ๆ เพราะเห็นประจำทุกปีในวันออกพรรษา ผู้เขียนสมัยเมื่ออายุยังน้อย เมื่อปี 2508 (เป็นคน อ.โพนพิสัย) เมื่อวันออกพรรษา ได้ไปนั่งดูอยู่ที่ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย และได้ลงเรือไปไหลเรือไฟด้วย เมื่อไหลเรือไฟมาถึงบริเวณท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นลูกไฟดังกล่าวพุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง ขึ้นสูงไม่เกิน 2-3 วา นาน ๆ จะพุ่งขึ้นที จะขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนบนฝั่งเวียนเทียนเสร็จ เงียบ ลูกไฟถึงจะขึ้นให้เห็น แต่ทุกวันนี้ เมื่อ 18.00 น ก็ขึ้นแล้วขึ้นสูงถึง 200-300 เมตร และขึ้นแต่ละทีก็มากด้วย ตั้งแต่ 5-20 ลูกติดต่อกัน สังเกตว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทย ไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น ปีไหน (วันออกพรรษา) ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้จะขึ้นมาก เชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาล อยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่ว่าอย่างนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้งจะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้ง ชาวประมงวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปได้ 99 วา ที่นี้จะมีลูกไฟขึ้นเป็นสีเขียวนวล บ่อยครั้งที่ชาวลุ่มแม่น้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทาง ทางน้ำ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการกระทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือ เทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษเหตุนี้เรียกว่า “เงือกกิน” “เงือก, งู” เป็นสิ่งเดียวกันกับพญานาค แต่พญานาคนั้นมีภพเป็นที่อยู่อีกมิติหนึ่ง สามารถแปลงร่างได้หลายชนิด แปลงกายเป็นมนุษย์ หรือ อะไรก็ได้ เพียงแค่คิดเท่านั้นรูปร่างก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำ หรือหลายครั้งที่มีคนพบรอยประหลาดแต่ก็เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่เกิดขึ้นในเขต อ.โพนพิสัย หรือที่อื่น ๆ แม้แต่กลางกรุงเทพ ฯ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากคิดว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น และทำไมจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น และจะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาวจึงเชื่อได้ว่าพญานาค มีสัญชาติเชื้อชาติ ลาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นทางฝั่งไทยก็ตาม




นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟประหลาดหรือที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคายกับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและการสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และ แยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน

ตำนานประเพณีต่าง ๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พญานาค ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และ สำคัญอย่างไร กับเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ และทำไม”บั้งไฟพญานาค”จึงได้เกิดขึ้นเฉพาะเขต จ.หนองคาย เท่านั้น และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (15 ค่ำ ลาว) เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บั้งไฟพญานาคว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเกิดในวันดังกล่าวเท่านั้น ใครทำเพื่ออะไร และ ได้อะไรจากการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนยังต้องการไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้อยู่ (ตำนานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา บนดาวดึงส์ ครบ 3 เดือน เมื่อเสด็จกลับโลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงิน ทอง เสด็จลงมา มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบั้งไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาคดังนั้นต่อมาเหล่าพญานาคจึงได้ถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญ).........

หนองคาย – เวียงจันทน์เมือง “พญานาค
ในสมัยพุทธกาล คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จที่พระเชตุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถี พระองค์ได้พิจารณาถึงพุทธโบราณ ประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีตที่เสด็จเข้านิพพานไปแล้ว พระสาวกทั้งหลายต่างก็นำเอาพระสารีริกธาตุไปฐาปนาไว้ในที่ที่เหมาะสม พอรุ่งเช้าพระอานนท์ ได้ถวายน้ำชำระพระโอษฐ์ และไม้สีฟันหลังเสร็จกิจ จึงได้ทรงผ้ากำพลสีแดง แล้วผินพระพักต์สูทิศตะวันออก เสด็จมาทางอากาศมีพระอานนท์ เป็นผู้ติดตามพร้อมคณะสงฆ์เสด็จประทับที่ ดอนก่อนเนา (เวียงจันทน์ และเสด็จที่หนองคันแท เสื้อน้ำ ที่เวียงจันทน์) แล้วเสด็จประทับที่โพนจิกเวียงงัว (ใต้ปากห้วยคุคำ บ้านปะโค) ได้ทอดพระเนตเห็น แลนคำ แลบลิ้น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ เมื่อพระอานนท์ ทูลลา พระองค์พญากรณ์ว่า ต่อไปบ้านเมืองนี้จะเจริญ แลนคำ นั้นก็คือ ปัพพาละนาค อยู่ภูเขาลวงริมน้ำบังพวน ต.พระธาตุบังพวน (ทุกวันนี้) หลังจากที่ ปัพพาละนาคทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปภูเขาลวงจนพระองค์กระทำภัตตกิจเสร็จสิ้นได้ประทานผ้ากำพลผืนหนึ่งแก่ ปัพพาละนาค แล้วเสด็จไปฉันเพลที่ใกล้เวินหลอด ต่อมาเรียกเวินพล (บ้านโพนฉัน เมืองท่าพระบาท แขวงบลิคำไซ ประเทศ สปป. ลาว) จากนั้น สุกขหัตถีนาค เนรมิตเป็นช้างถือดอกไม้มาขอเอารอยพระพุทธบาทพระองค์ได้ย่ำรอยพระบาทไว้ที่แผ่นหินใกล้น้ำชั่วเสียงช้างร้องได้ยิน (ปัจจุบันเรียกว่า พระบาทโพนฉัน) อยู่เมืองพระบาท ในลาว พญานาคสร้างเมือง

ที่บ้านร่องสะแก ต.หนองคันแทเสื้อน้ำ(ในเวียงจันทน์)มีชายคนหนึ่งตัวใหญ่ดำ พุงใหญ่ ชื่อ“บุรีจันทน์ อ่วยล้วย” แต่เป็นผู้มีใจบุญสุนทาน จิตใจเป็นกุศล โอบอ้อมอารีแก่คนและสัตว์ ทำบุญให้ทานเป็นประจำ ในครั้งนั้นมีพระอรหันต์ 2 องค์ มาจากราชคฤห์นครอาศัยอยู่ที่นั้น คือ มหาพุทธวงศา อยู่ริมบึง อีกองค์ชื่อ มหาสัชชะตี อยู่ป่าโพนเหนือบึง บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นผู้อุปัฏฐากมาตลอด ด้วยอำนาจบุญกุศลดังกล่าว ทำให้คนทั้งหลายในตำบลมีความรักนับถือ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย จึงพากันยกให้บุรีจันทน์ ฯ เป็นอาจารย์สั่งสอนศีลธรรม ศิลปหัตถกรรม การุกสิกรรม จนเป็นที่รักใคร่ของมนุษย์ เทวดา นาค จึงมีนาคคอยช่วยเหลือกิจกรรมอยู่เนือง ๆ โดยมีสุวรรณนาค ให้ความช่วยเหลือเนรมิตบ้านเมืองให้

อยู่มาวันหนึ่งหลังจากที่ชาวบ้านทำนา เมื่อข้าวออกรวง น้ำก็มาท่วมเสีย สุวรรณนาค จึงให้ เศรษฐไชยนาค เนรมิตเป็นคันแทกั้นน้ำเอาไว้ เพื่อให้ท่วมข้าว ที่นั้นคนจึงเรียกว่า หนองคันแทเสื้อน้ำ ต่อมาอีก สุวรรณนาค ให้นาคบริวาร 2 ตัว คือ เอกจักขุนาค และ สุคันธนาค แปลงเพศเป็นงูมาทำให้ข้าวในนาเสียหาย ชาวบ้านจึงกั้นรั่วเปิดช่องกลาง ดักไซไว้ ต่อมางูน้อย 2 ตัวที่มีเกล็ดเหมือนทองคำ มีหงอนแดงงาม เข้าไปอยู่ในไซในคืนนั้น บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ฝันว่ามีไส้ออกมา และมีลึงค์ยาวพันรอบเอวถึง 7 รอบเมื่อตื่นขึ้นมาก็กลัว ไปใส่บาตรพระอรหันต์ ท่านได้แนะนำให้เอาดอกไม้ใส่พานบูชาไว้ที่หัวนอน แล้วอุทิศกุศลถึงพญานาค พอสายก็มีคนนำงูน้อย 2 ตัว มาให้จึงได้ขังเอาไว้เพื่อที่จะได้นำไปให้ พ่อท้าวคำบาง ผู้เป็นใหญ่ แต่ยังไม่ได้นำไป พอตกกลางคืน สุวรรณนาค แปลงเป็นตาผ้าขาวมีศรีษะหงอก บอกว่า “งู 2 ตัวนั้นเป็นลูกจะมาขอคืน” เมื่อ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เห็นดั้งนั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นคนถือศีลธรรมหรือ จึงนุ่งขาว ห่มขาว และทำไมบอกว่าเป็นลูกท่าน ข้าตั้งใจจะนำไปให้พ่อท้าวคำบาง เพราะเห็นว่ามีเกล็ดงามเหมือนทองคำ”ตาผ้าขาวจึงบอกว่า“เป็น พญานาค ท่านอย่าเอาไปเลย สิ่งนี้ไม่เหมาะ ควรจะนำสิ่งอื่นไปหากท่าต้องการเราจะให้ตามใจท่าน” บุรีจันทน์ อ่วยล้วย คิดว่าคงจะเป็นตามที่เราฝัน และ การอุทิศถึงพญานาค จึงได้บอกไปว่า “เมื่อข้าต้องการเมื่อใด ท่านจงให้เมื่อนั้นเถิด” แล้วได้มอบ งูน้อย 2 ตัวไป ตาผ้าขาวจึงได้บอกแก่ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ว่า “ให้ท่านขุดบ่อน้ำไว้ที่ริมบึงนอกบ้าน ถึงวันพระจะให้นาคน้อย 2 ตัวขึ้นมา ท่านประสงค์สิ่งใดจงเรียกจากนาคทั้ง 2” จากนั้นก็จากไป

หลังจากที่พญานาค เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้ดลใจพ่อท้าวคำบาง และมเหสี ให้นำ นางอินสว่างลงรอด ให้เป็นบาทบริจาคแห่ง พระยาสุมิตร ธรรมวงศา เมืองมรุกขนคร และเมื่อนางอินสว่างลงรอด ทราบก็เกิดความโศกเศร้า บิดาเห็นว่าไม่พอใจ จึงพูดให้พระธิดากลัวว่า ถ้าเช่นนั้นจะนำเจ้าไปเป็นธิดาของ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ที่เขาลือกันว่าพุงใหญ่ ตัวดำ เมื่อธิดาได้ยินแทนที่จะกลัว กลับมีความพอใจและหายโศกเศร้าจึงได้ปลูกเรือนหลวงขึ้น 2 หลัง ๆ ละ 5 ห้อง ไว้ระหว่างหาดทราย กับ บ่อน้ำของ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย แล้วให้พระธิดาไปอยู่นั้น แล้วตรัสสั่งให้ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เข้าเฝ้า เพื่อให้พระธิดาเห็นแล้วกลัวฝ่ายบุรีจันทน์ อ่วยล้วย เมื่อทราบดังนั้นจึงไปที่บ่อน้ำ ที่พญานาค สั่งให้ขุดแล้วเรียกนาคทั้ง 2 ให้มา นาคทั้ง 2 ก็มาตามประสงค์ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย จึงบอกว่าบัดนี้เราอยากได้นางอินสว่างลงรอด มาเป็นภรรยา ท่านทั้ง 2 จงกรุณาให้นางได้กับข้าด้วยเทอรญพญานาค ร่วมแรงแข็งขันช่วย บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ในบรรดาพญานาค ที่มีอยู่ที่หนองคันแทเสื้อน้ำ นั้น สุคันธนาค นำขวดไม้จันทน์มาให้ พร้อมเนรมิตอ่างสำหรับอาบน้ำ พร้อมกระบวยสำหรับตักน้ำอาบ เอกจักขุนาค ให้ผ้าเช็ดตัว กายโลหนาค ให้ผ้านุ่ง แล้วก็บอกกันต่อไป ส่วน อินทจักขุนาค ให้แหวนธำรงค์ เศรษฐไชยนาค ให้ดาบศรีด้ามแก้ว สหัสสพลนาค ให้เสื้อรูปท้าวพันดา สิทธิโภคนาค ให้มงกุฎทองคำ ประดับแก้ว คันธัพนาค ให้สังวาลย์คำ ศิริวัฒนานาค ให้รองเท้าทองคำ อินทรศิริเทวดา ให้แว่นกรองทองคำ เทวดาผยอง ให้ต่างหูทองคำ ประดับด้วยแก้ว เทวดาวาสนิท ให้ผ้าเช็ดหน้า ประสิทธิสักกเทวดา ให้ขวดน้ำมันแก้วผลึกเมื่อ นาค เทวดา ให้เครื่องเหล่านี้แล้ว ก็พากันมาชุมนุมที่หาดทราย อันเป็นที่อยู่ของ สุคันธนาค และ เอกจักขุนาค ส่วน สุวรรณนาค หัตถีนาค ปัพพาละนาค ได้มาพร้อมกับ พญาสุวรรณนาค และ พุทโธปาปนาค พญาสุวรรณนาค ก็เนรมิตปราสาทที่สำเร็จด้วยไม้จันทน์ พร้อมอาสนะ เครื่องปูลาด เพดานพร้อมเสร็จ แล้วจึงพากันไปรับเอา นางอินสว่างลงรอด มาไว้ในปราสาท และ พญาสุวรรณนาค ยังได้เนรมิตท้องพระโรงหลวง 19 ห้อง ที่ทำด้วยแก่นจันทน์ ปัพพาละนาค เนรมิตปราสาทไม้มะเดื่อพอกทำภายนอก พุทโธปาปนาค เนรมิตสระพังสำหรับสรง สุคันธนาค และ หัตถีนาค เนรมิตโรงช้างไว้ ซ้าย-ขวา ในคุ้ม ในวัง นั้นมีทุกประการ เมื่อคนทั่วไป ไปจับต้องสิ่งที่พญานาค เนรมิตไว้ก็จะเกิดมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา เทวดาอินทรศิริ เจียมปาง รับอาสากับ พญานาค เข้าคุ้มครองรักษาวัตถุข้าวของในปราสาทโรงหลวงทั้งสิ้น แล้วให้ เทวดามัจฉนารี นำพานดอกไม้ไปอัญเชิญ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เข้ามาอยู่หลังจากที่ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ชำระร่างกาย แล้วประดับด้วยเครื่องที่นาคจัดกามาให้และเทวดาเนรมิตให้ เมื่อแต่งเสร็จปรากฏว่าร่างกายที่อ้วนใหญ่ ดำ ก็กลายเป็นหนุ่มรูปหล่อ งามสง่าเนื้อตัวหอมด้วยกลิ่นจันทน์ เทวดามัจฉนารี จึงได้อุ้มไปนอนไว้กับ นางอินสว่างลงรอด ทันใดนางก็ตื่นแล้วหลับต่อไปอีก หลังตื่นมาทั้งสองเกิดความรักใคร่และได้เป็นสามี ภรรยากันต่อมา บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นเจ้าเมืองเมื่อบริวารทั้งหลายตื่นขึ้นมาเห็นความยิ่งใหญ่ จึงนำความไปแจ้งแก่ พ่อท้าวคำบาง และ พระมเหสีทั้งสอง มีความยินดี จึงให้เสนออำมาตย์จัดพิธีสมโภชยก บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นเจ้าบุรีจันทน์ พร้อมมอบบ้านเมืองให้ครอง โดยมี เทวดามัจฉนารี รักษาจ้าบุรีจันทน์ และข้า ทาสบริวาร ส่วน เทวดาอินทรศิริ ได้บอกกับ สุวรรณนาค ว่านาคตัวใดรักษาเมืองใดก็ให้ประจำอยู่ที่นั้น แล้วให้บอกกล่าวแก่ เงือก, งู ที่เป็นบริวาร ไม่ให้ทำร้ายผู้ใด ให้พากันรักษาพระพุทธศาสนา บ้านเมืองให้เจริญตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ เมื่อ สุวรรณนาค ได้รับคำสั่งดังนั้นจึงมีความยินดี ได้แต่งตั้งให้นาค 4 ตัว คอยดูแลเมือง ราษฎร ควรทำโทษจึงทำ โดยมี กายโลหนาค, เอกจักขุนาค, สุคันธนาค, อินทรจักขุนาค โดยมี เทวดาอินผยอง และ เทวดาวาสนิท เป็นผู้เที่ยวตรวจดูตามตำบลต่าง ๆ เมื่อเห็นคนกระทำผิดให้บอกแก่นาค ทั้ง 4 เป็นผู้ตัดสินลงโทษ เมืองที่เจ้าบุรีจันทน์ อ่วยล้วย ปกครอง คือเมือง สีสัตตนาคนหุต รวมถึงเมืองหนองคายด้วย เพราะในสมัยนั้น แม้แต่ พระธาตุบังพวน ต.พระธาตุบังพวน อ.เมืองหนองคาย เจ้าบุรีจันทน์ ก็เป็นคนสร้างครั้งแรกที่พระอรหันต์ นำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุโดยมีนาค คือ ปัพพาละนาค เป็นคนช่วยสร้างจนเสร็จ เมื่อพระอรหันต์นำเอาพระธาตุหัวเหน่า 29 องค์ ถวายพระยาจันทน์บุรี แล้วบรรจุในขวด ในขวดไม้จันทน์ที่ สุคันธนาค มอบให้ แล้วนำบรรจุลงในอุโมง ที่พระธาตุบังพวน

ในบั้งไฟพญาจังหวัดหนองคายนาคเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง
ในเขตอำเภอสังคมบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคมอ่างปลาบึก บ้านผาตั้ง อำเภอสังคม
ในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่
ในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ตำบลหินโงม อำเภอเมืองหน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ตำลบบ้านเดื่อ อำเภอ เมือง หนองคาย
ในเขตอำเภอโพนพิสัยปากห้วยหลวง ตำบลห้วยหลวง อำเภอโพนพิสัย
ในเขตเทศบาลตำบลจุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง ตำบลจุมพล อำเภอ โพนพิสัยหนองสรวง อำเภอโพนพิสัยเวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัยบ้านหนองกุ้ง ตำบลกุดบง อำเภอโพนพิสัย
ในเขตกิ่งอำเภอรัตนวาปีปากห้วยเป บ้านน้ำเป ตำบลน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนวาปีวัดเปงจาเหนือ กิ่งอำเภอรัตนวาปี
ในเขตอำเภอปากคาดบ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อำเภอปากคาด
ในเขตอำเภอบึงกาฬวัดอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ
ที่อื่น ๆ นอกจาก 14 แห่งนี้ที่อื่นก็อาจจะมีขึ้นบ้าง นอกจากในลำน้ำน้ำโขงแล้วตามห้วย หนองคลองบึง สระน้ำ กลางทุ่งนาที่มีน้ำขัง แม้แต่บ่อบาดาลที่ชาวบ้านขุดเพื่อเอาน้ำมาใช้ ในเขตจังหวัดหนองคาย ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์
หมายเหตุ ปี 2542 เกิดมากที่สุด ที่ชายตลิ่ง หน้าสถานี ตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ห่างจาก อ.เมือง หนองคาย เพียง 15กม.

สรุปความแตกต่างระหว่างบั้งไฟพญานาคกับไฟจากการจุดพลุ
จุดสังเกต ลักษณะลูกบั้งไฟพญานาค ลักษณะลูกไฟที่จุดจากพลุ
1. สีแดง แดงอมชมพูออกสีบานเย็น (สีพลอยทับทิมที่มีราคาแพงประดับหัวแหวน) แดงผสมหลายแบบ บางครั้งออกส้ม บางครั้งออกเหลือง
2. ความกลมกลืนของสีดวงไฟ สีเรียบสม่ำเสมอกลมกลืนกันทั้งลูกไฟ ลูกไฟสีจะไม่เรียบกลมกลืนกัน ใจกลางอาจจะออกสีน้ำเงินอ่อน ถัดมาสีส้มมักจะออกแดงเรื่อๆ
3. ความสว่าง ไม่ส่องแสงสว่างเท่าใดนัก คือไม่ให้เกิดความสว่างอย่างแสงไฟฟืนที่กำลังลุกโชน แต่จะสว่างเท่ากันตลอดเวลาจนกระทั้งดับ ส่องแสงสว่างจ้า ในขาขึ้น
4. แรงดันให้ลอย ไม่มีการพ้นเปลวไฟลงด้านล่าง เพื่อขับผลักตัวเองให้ลอย มีเปลวพ่นลงด้านล่างเพื่อผลักดันลูกไฟให้ลอยขึ้น แตกต่างกันชัดเจน
5. เห็นลูกไฟได้ที่ความสูงใด ถ้าลูกไฟลอยขึ้นด้วยความเร็วต่ำๆ จะเกิดลูกไฟที่ความสูงจากพื้นน้ำไม่เกิน 1 เมตร แล้วลอยขึ้นไป ลูกไฟจะเล็กลง ถ้าพุ่งขึ้นด้วยความเร็วสูงมากจะเกิดที่ความสูง 30-40 เมตร และจะเป็นดวงไฟที่ลูกโตตามมาก พุ่งไปเร็วมาก และสูงมาก เช่น ปี 2542 ลูกไฟพุ่งออกจากที่สำหรับบรรจุพลุ ทันทีที่พ้นปากกระบอกภาชนะ
6. การเห็นสีลูกบั้งไฟบางลูกสีแปรเปลี่ยนไปจากสีแดงบานเย็นได้ บั้งไฟบางลูกพุ่งขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็วมากจนมีน้ำกระจาย ละอองน้ำบางส่วนเกาะติดกลุ่มบั้งไฟขึ้นไปด้วยถ้าเกิดการลุกไหม้ตั้งแต่ระยะต่ำ ที่ความสูงประมาณ 1 เมตร ขณะที่มีน้ำเกาะติด จะเกิดแสงเป็นสีฟ้าสุกใส เมื่อลูกไฟพุ่งขึ้นสูงไประยะหนึ่งละอองน้ำที่เกาะจะหลุดจากบั้งไฟหมด สีของลูกไฟจะกลับคืนสู่สีปกติ คือ สีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น ซึ่งปี 2542 เกิดบั้งไฟสีลักษณะนี้ ที่เขตเทศบาล อ. โพนพิสัย จำนวน 40-50 ลูก แต่ถ้าเกิดการลุกไหม้ที่ระยะสูงประมาร 15 เมตรขึ้นไปที่ไม่มีน้ำเกาะติด จะเกิดแสงสีแดงทับทิม ลูกไฟพลุจะมีการเปลี่ยนสีได้เนื่องจาก1. ส่วนผสมของดินปืน 2. การอักดินปืน และ 3. และการใส่สีของช่างทำพลุ
7. การลอย จะลอยขึ้นในแนวดิ่งตั้งฉากกับพื้นโลก บางลูกลอยขึ้นในแนวเฉียง แต่ต้องเฉียงเป็นแนวเส้นตรง จะพุ่งขึ้นหลายแนว แล้วแต่ผู้จุดจะถือพลุชี้ไปทางใด แนวดิ่งก็ได้ หรือแนวเอียงแต่จะเฉียงเป็นเส้นโค้งไม่เป็นเส้นตรง



ขอบคุณ:การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดหนองคาย

ตลาดท่าเสด็จ
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมือง เป็นแหล่งรวมสินค้าที่ในแถบอินโดจีนและยุโรปตะวันออกมีทั้งผลิตภัณฑ์อาหารแห้ง อาหารแปรรูป และข้าวของเครื่องใช้ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องครัว เปิดจำหน่ายทุกวันเวลา 07.00-18.30 น. มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเดินทางมาเที่ยวชมและเลือกซื้อสินค้ามากมาย นอกจากนี้ท่าเสด็จยังเป็นด่านสำหรับคนท้องถิ่นข้ามไปยังลาว ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วไปต้องใช้ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
-------------------------------------------------------------------------------------------------
หมู่บ้านทำแผ่นกระยอ
อยู่บริเวณเส้นทางจากหนองสองห้องไปอำเภอท่าบ่อ จะมองเห็นตะแกรงไม้ไผ่ตากแผ่นกระยออยู่เป็นระยะริมถนน แผ่นกระยอเป็นแผ่นแป้งซึ่งเป็นส่วนประกอบสำหรับทำอาหารเวียดนาม เช่น ปอเปี๊ยะและแหนมเนือง มีการส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของหนองคาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------
หาดจอมมณี
อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 2 กิโลเมตร ตามถนนเลียบแม่น้ำโขง เป็นหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ชายหาดมีความยาวประมาณ 200 เมตร ช่วงที่เหมาะในการไปเที่ยวคือเดือนเมษายน ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวในจังหวัดและจากบริเวณจังหวัดใกล้เคียง เดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นจำนวนมาก จนได้รับการเรียกขานว่าเป็น “พัทยาอีสาน” อีกทั้งทิวทัศน์ในบริเวณหาดทรายยังสามารถมองเห็นบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ได้อย่างชัดเจน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
หมู่บ้านประมงน้ำจืด
อยู่ที่ตำบลกองนาง ตามเส้นทางท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านมีอาชีพทำการประมงน้ำจืด มีการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดชนิดต่างๆ เช่น ปลาตะเพียน ปลาไน ปลานวลจันทร์ ปลายี่สกเทศ ปลาเกล็ดเงิน ปลาหัวโต และปลาดุกเทศ โดยจัดส่งไปจำหน่ายยังกรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคอีสาน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
พระธาตุหนองคาย หรือ พระธาตุกลางน้ำ
เดิมชื่อพระธาตุหล้าหนอง เป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำน้ำโขง ห่างจากชายฝั่งปัจจุบันประมาณ 180 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ตามตำนานอุรังคธาตุ (พระพนม) จากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีภาค 7 พบว่าองค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ 17.2 เมตร ย่อมุมที่ฐาน และมีความสูงประมาณ 28.5 เมตร หักออกเป็น 3 ท่อน สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 20–22 เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวนมากที่สุด หนังสือประชุมพงศาวดารภาค 70 บันทึกไว้ว่า “พระธาตุเมืองหนองคายได้เพ (พัง) เมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีพุทธศักราช 2390” และตลิ่งได้ถูกน้ำเซาะจนมองเห็นพระธาตุอยู่เกือบกึ่งกลางลำน้ำโขงในปัจจุบัน พระธาตุหล้าหนองยังคงเป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคาย ชาวบ้านได้จัดงานประเพณีเกี่ยวกับพระธาตุทุกปี นอกจากนี้ทางจังหวัดหนองคายได้ก่อสร้างพระธาตุหล้าหนององค์จำลองสูง 15 เมตรขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงอยู่ภายใน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
พระธาตุบังพวน
ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุบังพวน บ้านดอนหมู ตำบลพระธาตุบังพวน ห่างจากตัวเมืองประมาณ 23 กิโลเมตร โดยเดินทางจากตัวเมืองหนองคายมาตามทางหลวงหมายเลข 2 (หนองคาย-อุดรธานี) ประมาณ 11 กิโลเมตร แล้วแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 211 ทางไปท่าบ่อ ถึงกม. 10 วัดอยู่ด้านขวามือ พระธาตุบังพวนเป็นเจดีย์เก่าแก่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคายมาช้านาน ตัวองค์พระธาตุเดิมสร้างด้วยอิฐเผา ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบท้องถิ่น เป็นสถูปแบบอินเดียรุ่นเดียวกับองค์พระปฐมเจดีย์ ต่อมาได้พังทลายลงเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513 เนื่องจากฐานทรุด เจดีย์องค์ปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยกรมศิลปากร เป็นรูปปรางค์สี่เหลี่ยมต่อกันเป็นบัวปากระฆัง มีฐานทักษิณ 5 ชั้น กว้าง 17.20 เมตร ชั้นที่ 6 เป็นรูประฆังคว่ำ ชั้นที่ 7 เป็นรูปดาวปลี เหนือขึ้นไปเป็นที่ตั้งฉัตร สูงจากพื้นดิน 34.25 เมตร ชาวหนองคายจัดงานนมัสการพระธาตุในวันขึ้น 11 ค่ำเดือนยี่ของทุกปี ภายในบริเวณวัดมีโบราณสถานอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งได้แก่ สัตตมหาสถาน หรือ สถานที่สำคัญ 7 แห่งในพุทธประวัติหลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้วและได้เสด็จประทับเสวยวิมุติสุขแห่งละ 7 วัน และสระปัพพฬนาค หรือสระพญานาค ซึ่งในสมัยโบราณเมื่อมีการแต่งตั้งเจ้าเมือง ก็จะนำน้ำจากสระนี้ไปสรงเพื่อเป็นสิริมงคล
------------------------------------------------------------------------------------------------
วัดหินหมากเป้ง
ตั้งอยู่ที่บ้านไทยเจริญ ตำบลพระพุทธบาท การเดินทางจากตัวเมือง ใช้ทางหลวงหมายเลข 211 (หนองคาย-ศรีเชียงใหม่) ถึง กม. 64 ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 2186 วัดจะอยู่ริมถนนด้านขวามือ รวมระยะทางจากตัวเมืองประมาณ 75 กิโลเมตร มีพื้นที่กว้างขวาง ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ บริเวณวัดโดยรอบสะอาด เรียบร้อยและเงียบสงบ มีพื้นที่ด้านหนึ่งติดกับลำน้ำโขงซึ่งมองเห็นทัศนียภาพสวยงาม อาจารย์เทสก์ เทสรังสี เกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสาน ได้ริเริ่มจัดตั้งให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของภิกษุสงฆ์ แม่ชี และผู้แสวงบุญทั้งหลาย หลังจากท่านมรณภาพ มีการก่อสร้างเจดีย์ เพื่อบรรจุอัฐิของท่าน ภายในมีรูปปั้นของอาจารย์เทสก์ พร้อมจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและชีวประวัติของท่านอีกด้วย
-------------------------------------------------------------------------------------------------
วัดถ้ำศรีมงคล (วัดถ้ำดินเพียง)
มีสถานที่สำคัญซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัด คือ ถ้ำดินเพียง มีหลานคนได้เล่าขานกันมาว่าเป็นถ้ำที่พระธุดงค์ประเทศลาวเดินทางข้ามมาโดยไม่ได้ผ่านมาทางเรือแต่เป็นการเดินทางผ่านถ้ำนี้ ซึ่งผู้ที่จะเห็นเส้นทางภายในถ้ำต้องเป็นผู้บำเพ็ญศีลภาวนา
หรือพระอภิญญา ลักษณะถ้ำดินเพียงนี้คล้ายเมืองบาดาลของพญานาคตามความเชื่อของชาวบ้าน ภายในถ้ำจะมีความชื้นและมีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีก้อนหินเป็นแท่งตั้งวางอย่างจงใจ บางก้อนเป้นโลงศพ มีส่วนเว้าโค้งของหินภายในถ้ำที่สวยงาม
การเดินทางเข้าชมถ้ำควรมีผู้เชี่ยวชาญนำเข้าไป เพราะถ้าไปเองอาจทำให้หลงทางและเป็นอันตรายได้
-------------------------------------------------------------------------------------------------
วัดผาตากเสื้อ
วัดผาตากเสื้อ เป็นวัดที่มีทิวทัศน์สวยงามมาก มองจากบนผาลงมามองเห็นความเป็นอยู่ของชาวไทยลาว ภายในวัดมีธรรมชาติที่สมบูรณ์สามารถเดินเลาะตามหน้าผาเพื่อชมธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามได้ การเดินทาง จากจังหวัดหนองคายมุ่งหน้าสู่ถนนหลวงหายเลข 211 เรียบแม่น้ำโขง ระยะทางประมาณ 96 กิโลเมตร ถึงบ้านดงต้อง ตำบลผาตั้ง อำเภอสังคม จะมีป้ายทางซ้ายมือบอกเส้นทางไปวัดถ้ำเพียงดินอีก 14 กิโลเมตร และวัดผาตากเสื้อ 7 กิโลเมตร โดยแยกทางขวามือ การเดินทางสามารถมาได้โดยรถประจำทาง บขส. สายหนองคาย-เลย ผ่านอำเภอสังคม ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง วันละหลายเที่ยวตั้งแต่เวลา06.00-16.00 น. ออกทุก 30 นาที และต่อสองแถวซึ่งออกวันละ 1 เที่ยวเท่านั้น เพื่อเข้าไปชมวัดถ้ำเพียงดิน และวัดผาตากเสื้อ ระหว่างทางมีร้านอาหารไม่มาก นักท่องเที่ยวควารเตรียมสะเบียงอาหารสำรองไว้ด้วย
นักท่องเที่ยวที่สนใจท่องเที่ยวชมวัดถ้ำศรีมงคล (ถ้ำเพียงดิน) และวัดผาตากเสื้อ สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลผาตั้ง โทร. 0 4290 1013
-------------------------------------------------------------------------------------------------
วัดอรัญบรรพต พระสุธรรมเจดีย์
ตั้งอยู่ริมถนนสายศรีเชียงใหม่-สังคม ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ก่อสร้างโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพื่อถวายหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เกจิอาจารย์ที่มีศิษยานุศิษย์มากมาย มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา ปัจจุบันได้มรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2548
-------------------------------------------------------------------------------------------------
วัดสว่างอารมณ์ (วัดถ้ำศรีธน)
จากตัวเมืองใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 212 ไป 90 กิโลเมตร ถึงอำเภอปากคาด มีทางแยกขวาเข้าวัดไปอีก 500 เมตร วัดสว่างอารมณ์ตั้งอยู่บริเวณลานหินเนินเขา ร่มรื่นด้วยต้นไม้และลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน บริเวณ
ใต้โขดหินใหญ่ประดิษฐานพระนอนให้ผู้คนสักการะบูชา บนโขดหินมีอุโบสถทรงระฆังคว่ำ หากขึ้นไปถึงด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลจนถึงฝั่งลาว
-------------------------------------------------------------------------------------------------
วัดโพธิ์ชัย
เป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ใตเขตเทศบาลเมือง เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านของชาวเมืองหนองคาย หลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มีลักษณะงดงาม ตามตำนานเล่าว่า พระธิดา 3 องค์ของกษัตริย์ล้านช้างได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์และขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามของตนเอง คือ พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลางและพระใสประจำน้องคนสุดท้อง เดิมประดิษฐานที่เวียงจันทน์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสามลงเรือข้ามฝั่งมายังเมืองหนองคาย แต่เกิดพายุพัดพระสุกจมน้ำหายไป ส่วนพระเสริมและพระใสได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่หนองคาย จนในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงได้อัญเชิญพระเสริมลงมาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ ส่วนพระใสยังคงประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ทุกปีในวันเพ็ญกลางเดือน 7 ชาวเมืองหนองคายจะมีงานประเพณีบุญบั้งไฟบูชาพระใสที่วัดโพธิ์ชัยเป็นประจำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ
ประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีชมภูองค์ตื้อ บ้านน้ำโมง การเดินทางจากตัวเมืองหนองคายใช้ทางหลวงหมายเลข 2 ทางไปอุดรธานี เลี้ยวเข้าเส้นทางหมายเลข 211 สายหนองคาย-ท่าบ่อ ถึง กม.ที่ 31 จะเห็นป้ายบอกทางเข้าวัดเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร รวมระยะทางห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 43 กิโลเมตร
หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่หล่อด้วยทอง ฝีมือของช่างฝ่ายเหนือและช่างล้านช้าง เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามมาก นั่งขัดสมาธิปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3.29 เมตร สูง 4 เมตร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงเคารพนับถือมาก จากหลักฐานศิลาจารึกทำให้ทราบว่า พระเจ้าองค์ตื้อสร้างเมื่อพุทธศักราช 2105 ผู้สร้างคือ พระไชยเชษฐา กษัตริย์นครเวียง หล่อโดยใช้ทองคำ ทองเหลือง และเงินผสมกัน รวมน้ำหนักได้ 1 ตื้อ (ตื้อ เป็น มาตราโบราณของอีสาน) ใช้เวลาในการสร้าง 7 ปี 7 เดือน ทางจังหวัดได้จัดงานนมัสการหลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
-------------------------------------------------------------------------------------------------
พระอนุสาวรีย์และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จยกกองทัพมาที่ตำบลหนองบัวลำภู เมื่อ พ.ศ. 2117 เพื่อไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดี ที่กรุงศรีสัตตนาคนหุต (เมืองเวียงจันทน์) เนื่องจากขณะนั้นไทยเป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระประชวร พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะริมหนองบัว หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองหนองบัวลำภู ในวันที่ 25 มกราคมถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ทางจังหวัดจะจัดให้มีงานเฉลิมฉลองและมีพิธีถวายสักการะบวงสรวงดวงวิญญาณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
------------------------------------------------------------------------------------------------
ภูทอก
ภูทอกในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว อยู่ในเขตบ้านคำแคน ตำบลนาสะแบง เป็นภูเขาหินทรายโดดเด่นมองเห็นได้แต่ไกล ประกอบด้วย ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย แต่ก่อนบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เริ่มเข้ามาจัดตั้งเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป็นสถานที่เงียบสงบ
ภูทอกน้อยเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก โดยต้องเดินไปตามสะพานไม้เวียนวนรอบเขาสูงชันจนถึงยอด สะพานไม้สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาจากเหล่าพระ เณร และชาวบ้าน เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2512 ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปี บันไดที่ทอดขึ้นสู่ยอดภูทอกนี้เปรียบเสมือนเส้นทางธรรมที่น้อมนำสัตบุรุษให้พ้นโลกแห่งโลกียะสู่โลกแห่งโลกุตระหรือโลกแห่งการหลุดพ้นด้วยความเพียรพยายามและมุ่งมั่น ภูทอกยังคงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและปฏิบัติศาสนกิจของชุมชน ดังนั้นผู้ที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ควรอยู่ในความสงบและเคารพสถานที่ บันไดขึ้นภูทอกแบ่งออกเป็น 7 ชั้น แตกต่างกันดังนี้ชั้นที่ 1-2 เป็นบันไดสู่ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหิน ลานหิน สุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยกสองทาง ทางซ้ายมือเป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลย ซึ่งเป็นทางชันมาก ผ่านหลืบหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ ทางขวามือเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4
ชั้นที่ 4 เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า “ดงชมพู” ทิศตะวันออกจดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบ บนชั้นที่ 4 นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นมีระยะทางประมาณ 400 เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะๆ
ชั้นที่ 5 มีศาลาและกุฏิที่อาศัยของพระ ตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ ตลอดเส้นทางสู่ชั้นที่ 6 มีที่พักเป็นลานกว้างหลายแห่ง มีหน้าผาชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต เป็นต้น ถ้ามาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พระวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน ผู้คนส่วนใหญ่มักหยุดการเดินทางเพียงแค่นี้ เพราะจากชั้นที่ 6 สู่ชั้นที่ 7 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว 400 เมตร เกาะติดอยู่ริมหน้าผาสูงชันดูน่าหวาดเสียวอันตราย มีความยาว 400 เมตร สุดทางที่ชั้น 7 เป็นป่าไม้ร่มครึ้มเกี่ยวกับศาสนคริสต์ รูปปั้นเล่าเรื่องรามเกียรติ์และตำนานพื้นบ้าน เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 08.00-18.30 น. ค่าเข้าชม 10 บาท
-------------------------------------------------------------------------------------------------
บึงโขงหลง
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเชิงนิเวศ เป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 8,064 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้กรมชลประทาน พิจารณาโครงการเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2523 และประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง เมื่อปี 2525 บึงโขงหลงได้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติอันดับที่ 1,098 ของโลก (Wetland of International Importance) ประกาศขึ้นทะเบียนปี พ.ศ. 2544 มีพื้นที่กว่า 22 ตารางกิโลเมตร ยาว 13 กิโลเมตร กว้าง 2 กิโลเมตร เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ และพืชน้ำนานาชนิด เช่น นกน้ำกว่า 100 ชนิดที่หาดูได้ยาก มีปลาที่หาดูยากคือ ปลาบู่แคระ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ศูนย์วิจัยพืชสวนหนองคาย
ศูนย์วิจัยพืชสวนหนองคาย ตั้งอยู่ที่ถนนหนองคาย-บึงกาฬ (ทางหลวงหมายเลข 212) ประมาณ 63 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางแยกขวาที่บ้านนายางเข้าไปอีก 200 เมตร เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำโขงจึงทำให้เป็นเขตที่มีความชุ่มชื้นสูงหลากหลายไปด้วยพันธุ์ไม้ที่ทดลองปลูกซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ทั่วบริเวณ ได้แก่ แปลงไม้ผล มีทุเรียน มังคุด ลองกอง มะม่วงหิมพานต์ รวมทั้งพันธุ์ไม้พื้นบ้านที่ได้อนุรักษ์ไว้เช่น ต้นมะเกี๋ยงที่นำไปทำไวน์และน้ำมะเกี๋ยง แปลงผักพื้นบ้านที่ชาวอีสานนิยมนำไปจิ้มน้ำพริก แนมลาบ เช่น กระเจียว ผักกาดย่า ส้มโมง ผักหวานป่า แปลงรวบรวมพันธุ์ไม้หอมกว่า 100 ชนิด และสมุนไพรพื้นถิ่นภาคอีสาน ในช่วงฤดูหนาวมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวสีสันสวยงามด้วย นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง สอบถามรายละเอียด โทร. 0 4242 1257
-------------------------------------------------------------------------------------------------
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว
เนื้อที่ประมาณ 186 ตารางกิโลเมตร หรือ 116,562 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอบึงกาฬ อำเภอบุ่งคล้า อำเภอเซกา และอำเภอบึงโขงหลง เกือบติดพรมแดนประเทศลาว มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยประมาณ 150-300 เมตร สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น บางส่วนเป็นสันเขาหินทราย ลานหินและทุ่งหญ้า ที่ทำการเขตฯ ตั้งอยู่ที่บ้านดอนจิก ซึ่งอยู่เลยอำเภอบุ่งคล้ามา 3 กิโลเมตรมีทางแยกขวาไปอีก 6 กิโลเมตร
แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ได้แก่
น้ำตกถ้ำฝุ่น อยู่ในบริเวณท้องที่บ้านภูสวาท ตำบลหนองเดิ่น บนเส้นทางหมายเลข 212 ก่อนถึงอำเภอบุ่งคล้า 7 กิโลเมตรมีทางแยกขวาไปน้ำตกประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ในบริเวณป่าโปร่งที่มีทิวทัศน์สวยงามทางตอนเหนือของภูวัว ทางเดิน
ไปน้ำตกผ่านลานหินทรายกว้างขวาง จนมาสุดทางที่น้ำตกที่ไหลมาจากหน้าผาหินทรายที่มีลักษณะเป็นร่องแคบ มองเห็นสายน้ำตกมาเป็นทางยาว มีน้ำเฉพาะในฤดูฝน บริเวณใกล้เคียงมีเพิงผาหินเป็นแนวยาวเรียกว่า ถ้ำฝุ่น
น้ำตกเจ็ดสี ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านดอนเสียด ตำบลบ้านต้อง อำเภอเซกา หากเดินทางมาตามทางหมายเลข 212 ก่อนถึงบุ่งคล้า 12 กิโลเมตรมีทางแยกขวาที่บ้านชัยพร ผ่านบ้านภูเงิน บ้านดอนเสียดไปถึงน้ำตกเป็นระยะทางอีก 28 กิโลเมตร
หรือหากเดินทางจากภูทอกใช้เส้นทางที่ผ่านบ้านนาต้อง บ้านดอนเสียด รวมระยะทางจากภูทอก 14 กิโลเมตร น้ำตกเจ็ดสี เป็นน้ำตกที่สวยงามมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน เกิดจากธารน้ำของห้วยกะอามไหลมาตามหน้าผาหินทรายสูงและแผ่กว้าง
เป็นทางยาว สายน้ำตกกระทบหินเบื้องล่างเกิดเป็นละอองไอน้ำยามเมื่อกระทบกับแสงแดดทำให้เกิดสีต่างๆ ขึ้น จึงเรียกว่า น้ำตกเจ็ดสี
น้ำตกภูถ้ำพระ ตั้งอยู่บริเวณบ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา อยู่ห่างจากอำเภอเซกาประมาณ 34 กิโลเมตร มีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเช่นเดียวกับน้ำตกอื่น ๆ ของภูวัว แต่การเดินทางเข้าถึงค่อนข้างลำบาก เดินทางจากอำเภอบุ่งคล้าไปตาม
ทางหมายเลข 212 ระยะทาง 24 กิโลมตรถึงบ้านท่าดอกคำ มีทางดินแยกขวาไปจนถึงห้วยบางบาตรและต่อเรือชาวบ้านไปยังน้ำตก บริเวณน้ำตกจะเป็นที่ตั้งสำนักสงฆ์ เงียบสงบและร่มรื่น เมื่อเดินขึ้นมาบนลานหินด้านหลัง จะพบหุบเขารูปแอ่ง
กระทะขนาดกว้างประมาณ 200 ตารางเมตร มีสายธารน้ำตกไหลมายังก้นอ่างที่เบื้องล่าง บริเวณน้ำตกเป็นผากว้างราว 100 เมตร สูง 50 เมตร สามารถลงเล่นน้ำได้
น้ำตกชะแนน เดิมชื่อน้ำตกตาดสะแนน ตาดแปลว่า "ที่ซึ่งมีน้ำไหล" สะแนนมีความหมายว่า "สูงสุดยอด" หรือ "เยี่ยมยอด" ตั้งอยู่ที่บ้านภูเงิน ในเขตอำเภอเซกา ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปน้ำตกเจ็ดสี โดยใช้เส้นทางบ้านชัยพร-บ้านภูเงิน ระยะ
ทาง 13 กิโลเมตร จะมีทางแยกไปน้ำตกชะแนนอีก 5 กิโลเมตร ทางช่วงสุดท้ายเป็นทางดินแคบขรุขระและไม่สะดวก ต้องใช้มอเตอร์ไซค์เท่านั้น น้ำตกชะแนนเกิดจากลำห้วยสะแนนไหลลดหลั่น 2 ชั้น มีขนาดกว้างประมาณ 100 เมตร ระหว่างชั้นที่
1 กับชั้นที่ 2 ห่างกัน 300 เมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีความสวยงาม มีน้ำเฉพาะฤดูฝน ระหว่างทางจะผ่านขัวหิน (สะพานหิน) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น้ำลอดหายไปใต้สะพานหินที่มีความยาวประมาณ 100 เมตร การเดินทางไปชั้นที่
สองของน้ำตกชะแนน จะผ่านแนวลำธารที่พื้นเต็มไปด้วยโขดหิน เดินตามลำธารไปทางชายฝั่งด้านซ้ายมือ ทะลุออกที่ลานกว้างริมแอ่งน้ำใหญ่ เหนือแอ่งน้ำขึ้นไปก็เป็นน้ำตกชั้นเตี้ยๆ ตกลงมาสู่แอ่ง เรียกกันว่า น้ำตกบึงจระเข้
-------------------------------------------------------------------------------------------------
น้ำตกธารทิพย์
อยู่เลยอำเภอสังคมไปประมาณ 9 กิโลเมตร โดยเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 211 ถึงบริเวณ กม. 97-98 มีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อถึงลานจอดรถต้องเดินเท้าอีก 100 เมตรจึงถึงตัวน้ำตก น้ำตกธารทิพย์ เป็นน้ำตกที่สูงและสวยงามท่ามกลางป่าเขียวขจี แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ด้านล่างเป็นน้ำตกชั้นแรกสูงประมาณ 30 เมตร ไหลจากหน้าผาเป็นสายยาวสีขาวสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ชั้นที่ 2 สูงประมาณ 100 เมตร ต้องปีนขึ้นไปตามเส้นทางที่ทำไว้ และชั้นที่ 3 สูงประมาณ 70 เมตร มีน้ำไหลอยู่ตลอดปี และจะมีน้ำมากในฤดูฝน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
น้ำตกธารทอง
อยู่ในเขตบ้านผาตั้ง หมู่ที่ 1 ตำบลผาตั้ง การเดินทางใช้เส้นทางหนองคาย-ศรีเชียงใหม่-สังคม (ทางหลวงหมายเลข 211) ผ่านบ้านไทยเจริญ แล้วต่อไปบ้านผาตั้ง บริเวณหลัก กม.ที่ 74 ก่อนถึงตัวอำเภอประมาณ 11 กิโลเมตร น้ำตกธารทองจะอยู่ริมทางด้านขวามือ ส่วนด้านซ้ายมือของถนนเป็นบริเวณลานจอดรถ น้ำตกธารทองมีลักษณะเป็นธารน้ำไหลไปตามลานหิน มีแอ่งน้ำให้เล่นน้ำได้ ก่อนจะลดระดับเกิดเป็นชั้นน้ำตกเล็ก ๆ เป็นระยะลดหลั่นกันไปประมาณ 30 เมตรแลไหลลงสู่ลำน้ำโขงในที่สุด ช่วงเวลาที่มีน้ำมากเหมาะแก่การมาเที่ยวชมคือระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม บริเวณโดยรอบเป็นสวนรุกขชาติมีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น อยู่ห่างจากตัวเมืองหนองคายประมาณ 185 กิโลเมตร จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 212 ผ่านอำเภอโพธิ์ชัย อำเภอปากคาด และอำเภอบึงกาฬ แล้วเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 222 ถึงอำเภอศรีวิไล จากอำเภอศรีวิไลมีทางแยกซ้ายผ่านบ้านนาสิงห์ บ้านสันทรายงาม สู่บ้านนาคำแคน ถึงภูทอกเป็นระยะทางอีก 30 กิโลเมตรน้ำตกวังน้ำมอก อยู่ในเขตวังน้ำมอก ตำบลพระพุทธบาท เป็นน้ำตกสูง 30 เมตร อยู่ทางทิศเหนือของหมุ่บ้าน เลยเขตเทศบาลตำบลศรีเชียงใหม่ออกไปทางอำเภอสังคม ประมาณ 28 กิโลเมตร ก่อนถึงวัดหินหมากเป้ง 20 เมตร จะมีทางแยกซ้าย
เข้าสู่หมู่บ้านวังน้ำมอก ระยะทางจากทางแยกเข้าสู่น้ำตกประมาณ 7 กิโลเมตร เดินทางโดยรถยนต์จนถึงตัวน้ำตกได้โดยไม่ต้องเดินเท้า บริเวณน้ำตกมีแนวสันภูเป็นผาหินมีลักษณะแปลกตา ธารน้ำไหลระยะทางลดหลั่นกันไป ตอนล่างเป็นแหล่งน้ำ
ขนาดใหญ่และลานหิน สามารถลงเล่นน้ำและอาบน้ำได้ ช่วงเวลาที่มีน้ำได้แก่ ช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม เป็นช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวที่สุด

ประกอบกับผู้คนที่มาท่องเที่ยวสามารถพักค้างคืน (โฮมสเตย์) และเดินเที่ยวป่า รวมทั้งยังร่วม พิธีบายศรีสู่ขวัญ และซุมข้าวแลง (กินข้าวเย็นด้วยกัน) ซึ่งเป็นประเพณีของชาวบ้านวังน้ำมอกในการต้อนรับกับคนแปลกถิ่นที่มาเยือน จึงสร้างความ
ประทับใจให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างดี อาหารพื้นบ้านที่ท่านจะได้ลิ้มรส อันได้แก่ แกงหน่อไม้ ตำสับปะรด ปลาทอดสมุนไพรกรอบ ฯลฯ

สนใจชุดการท่องเที่ยวบ้านวังน้ำมอกไปจนถึงการเที่ยวป่า ติดต่อที่ คุณติณณภพ โทร. 08 6232 5300

การเดินทางของ จ. หนองคาย

การเดินทางจากหนองคายไปยังจังหวัดใกล้เคียง
นอกจากรถโดยสารสายหนองคาย-กรุงเทพฯแล้ว จากสถานีขนส่งหนองคายยังมีบริการรถโดยสารสายหนองคาย-ระยอง (มีทั้งรถปรับอากาศและธรรมดา) รถธรรมดาสายหนองคาย-เลย และหนองคาย-อุดรธานี ติดต่อสถานีขนส่งหนองคายโทร. 0 4241 1612 ส่วนรถไฟมีรถออกจากสถานีหนองคายไปยังอุดรธานี ขอนแก่น และกรุงเทพฯ วันละประมาณ 3 เที่ยว ติดต่อสถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1592

ระยะทางจากหนองคายไปจังหวัดใกล้เคียงมีดังนี้
อุดรธานี 51 กิโลเมตร
เลย 202 กิโลเมตร
สกลนคร 210 กิโลเมตร
นครพนม 303 กิโลเมตร

รถยนต์
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านสระบุรี แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย รวมระยะทาง 615 กิโลเมตร
รถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-หนองคาย ทุกวัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง โทร. 1690, 0 2223 7010,0 2223 7020 http://www.railway.co.th/ สถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1592

รถโดยสารประจำทาง
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศไปหนองคาย ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 (จตุจักร) โทร. 0 2936 2852-66 นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเอกชนหลายแห่งที่บริการเดินรถไปจังหวัดหนองคาย เช่น 407 พัฒนา โทร. 0 2992 3475-8 , 0 4241 1261 ชาญทัวร์ จำกัด โทร. 0 2618 7418, 0 4241 2195 บารมีทัวร์ โทร. 0 2537 8249, 0 4246 0345 เชิดชัยทัวร์ โทร. 0 2936 0253 , 0 4246 1067 http://www.transport.co.th/

เครื่องบิน
นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางโดยเครื่องบิน สามารถไปได้โดยลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี จากนั้นต่อรถเข้าจังหวัดหนองคายอีก 51 กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางการบินได้ที่ บมจ.การบินไทย โทร. 1566,0 2628 2000 , 0 2356 1111 http://www.thaiairways.com/ หรือ สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย โทร. 0 2515 9999 http://www.airasia.com/

การคมนาคมภายในตัวจังหวัด จ.หนองคาย
นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถเช่าของบริษัทนำเที่ยวซึ่งมีมากมายในตัวเมือง หรืออาจใช้บริการรถสามล้อเครื่องที่เรียกกันว่า สกายแล็ป ไปยังจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ในตัวเมืองและใกล้เคียง เช่น ตลาดท่าเสด็จ วัดโพธิ์ชัย ศาลาแก้วกู่ และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จากสถานีขนส่งหนองคายมีรถโดยสารสายหนองคาย-เลย วิ่งผ่านอำเภอท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ สังคม และอำเภอเชียงคานของจังหวัดเลย ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง ในอำเภอเหล่านี้จะมีที่พักแบบเกสต์เฮ้าส์สำหรับบริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารวิ่งระหว่างหนองคาย-นครพนม ด้วย

การเดินทางจากอำเภอเมืองหนองคายไปยังอำเภอต่าง ๆ

อำเภอสระใคร 26 กิโลเมตร
อำเภอท่าบ่อ 42 กิโลเมตร
อำเภอบุ่งคล้า 181 กิโลเมตร
อำเภอโพนพิสัย 45 กิโลเมตร
อำเภอศรีเชียงใหม่ 57 กิโลเมตร
อำเภอรัตนวาปี 71 กิโลเมตร
อำเภอเฝ้าไร่ 71 กิโลเมตร
อำเภอโพธิ์ตาก 77 กิโลเมตร
อำเภอปากคาด 90 กิโลเมตร
อำเภอสังคม 95 กิโลเมตร
อำเภอโซ่พิสัย90 กิโลเมตร
อำเภอบึงกาฬ136 กิโลเมตร
อำเภอศรีวิไล 163 กิโลเมตร
อำเภอพรเจริญ 182 กิโลเมตร
อำเภอเซกา 228 กิโลเมตร
อำเภอบึงโขงหลง 238 กิโลเมตร

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงไปจากอำเภอเมืองหนองคายไปยังเมืองท่าเดื่อ ของ สปป.ลาว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ประมาณ 20 กิโลเมตร สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของ 3 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ลาว และไทย นับว่าเป็นสะพานที่สร้างความสัมพันธ์ไทย-ลาว ให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการเดินทางจากหนองคายไปเวียงจันทน์จำเป็นต้องใช้สะพานแห่งนี้ ตัวสะพานมีความยาว 1,137 เมตร กว้าง 12.7 เมตร มีช่องสำหรับเดินรถ 2 ช่องทาง ซึ่งตรงช่วงกลางสะพานออกแบบไว้สำหรับสร้างทางรถไฟ เชิงสะพานมีด่านตรวจคนเข้าเมือง
การเดินทางท่องเที่ยวประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยตัวเอง หรือใช้บริการนำเที่ยวจากบริษัทนำเที่ยวที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ด่านจะเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-22.00น.
เอกสารประกอบการเดินทาง
ชาวไทย........... ต้องทำบัตรผ่านแดนที่ศาลากลางจังหวัดหนองคาย โทร. 0 4241 1778 เปิดทำการทุกวันไม่เว้นวันหยุด ค่าธรรมเนียมคนละ 40 บาท หรือติดต่อผ่านบริษัททัวร์ที่รับดำเนินการให้ ค่าบริการ 100 บาท เอกสารประกอบการทำบัตรผ่านแดนคือ สำเนาบัตรประชาชนและรูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป กรณีผู้ติดตามอายุต่ำกว่า 15 ปี ให้ใช้สำเนาทะเบียนบ้านหรือสำเนาสูติบัตรแทนสำเนาบัตรประชาชนและนำบัตรผ่านแดนไปประทับตราที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ค่าธรรมเนียมฝั่งไทย 10 บาท ค่ารรมเนียมฝั่งลาว วันจันทร์-ศุกร์ 50 บาท เสาร์-อาทิตย์ 70 บาท อายุผ่านแดน 3 วัน หากอยู่เกินต้องขอต่อที่กระทรวงภายใน สปป.ลาวและใช้ได้เฉพาะการเดินทางไปเมืองชายแดนไทย-ลาวไม่เกิน 25 กิโลเมตร หากเดินทางไปเมืองอื่นต้องใช้หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่า
ชาวต่างประเทศ............ ต้องใช้หนังสือเดินทาง(Passport) พร้อมวีซ่า โดยยื่นขอวีซ่าได้ที่สถานฑูตลาวประจำประเทศไทย 520/1-3 ซอยรามคำแหง 39 แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โทร.0 2539 6667 หรือสถานกงสุลลาว 18/1-3 ถนนโพธิสถิตย์ บ้านโนนทัน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โทร. 0 4322 1861,0 4322 3688 ทั้งนี้ต้องดำเนินการล่วงหน้าก่อนเข้าประเทศอย่างน้อย 3 วันทำการ หรือติดต่อบริษัทนำเที่ยวดำเนินการได้ อนุญาตให้อยู่ในลาวได้ 30 วัน หรือติดต่อขอ visa on arrival ได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของ สปป.ลาว อยู่ในลาวได้ 15 วัน
การนำรถยนต์ออก-เข้าประเทศต้องทำเอกสารนำรถออกและเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด สามารถติดต่อบริษัททัวร์ในหนองคายดำเนินการให้หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ด่านศุลกากรจังหวัด โทร. 0 4241 1518,0 4242 1468-9 โทรสาร 0 4241 2654
ปัจจุบัน บริษัท ขนส่ง จำกัด ได้เปิดให้บริการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) เส้นทางจังหวัดหนองคาย-เวียงจันทน์แล้ว ค่าโดยสารเที่ยวละ 55 บาท/คน (สัมภาระไม่เกินคนละ 20 กิโลกรัม) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 4224 7950-2

ข้อมูลจังหวัดหนองคาย

วีรกรรมปราบฮ่อ หลวงพ่อพระใส สะพานไทย-ลาว
หนองคาย เมืองชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง เป็นประตูสู่เมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โดยมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเชื่อมระหว่างสองประเทศจังหวัดหนองคายอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 615 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 7,332 ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดแม่น้ำโขงมากที่สุดเป็นระยะทาง 320 กิโลเมตร เหมาะแก่การทำเกษตรกรรมและประมงน้ำจืด ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ สามารถเดินทางข้ามไปเที่ยวยังฝั่งลาวได้โดยสะดวก มีวัดวาอารามและวัฒนธรรมวิถีชีวิตชาวบ้านที่น่าสนใจ โรงแรมที่พักที่สะดวกสบาย หลากหลายไปด้วยอาหารและสินค้าของฝาก ล้วนเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาเยือนเมืองริมโขงแห่งนี้

ภูมิอากาศ
เนื่องจากจังหวัดหนองคายมีภูมิประเทศติดกับแม่น้ำโขง ทำให้มีฝนตกชุกในฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ในฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์จะมีอากาศหนาวเย็นเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่สูง อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 11 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายนอากาศจะร้อนจัด อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 35 องศาเซลเซียส หนองคาย เมืองน่าอยู่อันดับ 7 ของโลก นิตยสาร Modern Maturity ของสหรัฐอเมริกา จัดให้หนองคายเป็นเมืองน่าอยู่ลำดับที่ 7 ของโลก สำหรับคนวัยเกษียณชาวอเมริกัน จากการสำรวจ 40 เมืองทั่วโลก โดยอาศัยตัวชี้วัด 12 ตัว คือ ภูมิอากาศ ค่าครองชีพ วัฒนธรรม ที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค การคมนาคม บริการทางการแพทย์ สภาพแวดล้อม กิจกรรมนันทนาการ ความปลอดภัย ความมั่นคงทางการเมือง และการเข้าถึงเทคโนโลยี

ประวัติเมืองหนองคาย
ประวัติศาสตร์ของเมืองหนองคายเริ่มต้นเมื่อกว่า 200 ปีเศษ พื้นที่บริเวณริมฝั่งโขงนี้เดิมเคยเป็นที่ตั้งของเมืองเล็ก ๆ 4 เมือง คือ เมืองพรานพร้าว เมืองเวียงคุก เมืองปะโค เมืองไผ่ (บ้านบึงค่าย) ปัจจุบันยังพบซากโบราณสถานอยู่ตามวัดต่าง ๆ ริมแม่น้ำโขงบนเส้นทางท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ได้ตั้งตนเป็นกบฎ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาราชเทวี ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ โดยมีท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) เจ้าเมืองยโสธร และพระยาเชียงสา เป็นกำลังสำคัญในการช่วยทำศึกจนได้รับชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้ท้าวสุวอขึ้นเป็นเจ้าเมือง โดยจัดตั้งเมืองใหญ่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคอยควบคุมพื้นที่และเลือกสร้างเมืองที่บ้านไผ่ แล้วตั้งชื่อเมืองว่า หนองคาย ตามชื่อหนองน้ำใหญ่ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง

อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับแม่น้ำโขงอันเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่าง ประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศใต้ ติดกับจังหวัดอุดรธานี, สกลนคร ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดนครพนม ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดเลย

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารท่องเที่ยว ททท. โทร. 0 4242 1326 (อยู่ภายในบริเวณศูนย์ราชการ จ.หนองคาย)
สถานีตำรวจภูธร โทร. 0 4241 1021, 0 4241 1071
โรงพยาบาลหนองคาย โทร. 0 4241 3456-8
โรงพยาบาลหนองคาย-วัฒนา โทร. 0 4246 5201
สถานีขนส่ง บ.ข.ส. โทร. 0 4241 1612
ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 0 4241 2110
สำนักงานจังหวัด โทร. 0 4241 1778
ด่านศุลกากร โทร. 0 4241 1518, 0 4242 1207
กองกำกับการตรวจคนเข้าเมือง โทร. 0 4241 1605
สถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1637 , 0 4241 1592

Link ที่น่าสนใจ
สำนักงานจังหวัดหนองคายhttp://www.nongkhai.go.th/
ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคายhttp://www.nongkhaiimmigration.com%20/

ข้อมูลเพิ่มเติม

Custom Search